วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กลอกลูกตาบริหารกล้ามเนื้อ


วันนี้มีคำแนะนำมาเพิ่มเทคนิค การบริหารดวงตา ด้วยการกลอกตา ช่วยบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตา ลดความเมื่อล้าจากการใช้งานนาน ๆ (จ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ) และยังช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้ด้วย

วิธีการ

1.ตั้งศีรษะตรงโดยไม่ต้องหันตามทิศทางที่ลูกตากลอกมองไป จากนั้นให้กลอกลูกตาไปทางซ้ายให้มากที่สุด สลับกับการกลอกลูกตาไปทางขวาให้มากที่สุด 10 รอบ

2.เหลือบลูกตามองขึ้นไปบนเพดาน สลับกับเหลือบมองพื้นให้มากที่สุด ทำซ้ำ 10 รอบ

3.เหลือบตามองที่ตำแหน่งปลายคิ้วด้านซ้าย ก่อนลากสายตาให้เหลือบมองแก้มด้านขวา ทำให้ได้ 10 รอบ แล้วเปลี่ยนไปเหลือบมองที่ตำแหน่งปลายคิ้วขวา แล้วเหลือบมองแก้มด้านซ้าย 10 รอบเช่นกัน

4.หมุนลูกตาในลักษณะเป็นวงกลม วนทั้งทางขวาและซ้าย ด้านละ 10 รอบ

5.การผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตาทำได้ง่ายๆ ด้วยการหลับตา จากนั้นวางนิ้วชี้ลงบริเวณเหนือคิ้วแต่ละข้าง แล้วกดนวดทั้งบริเวณคิ้วและรอบดวงตา เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว หรือใช้วิธีการนวดรอบดวงตาสามารถช่วยลดความรู้สึกปวดเบ้าตาและศีรษะได้

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/21924.html

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ยังรักมั้ย ?



ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ นึงตลอดเวลา

เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้

และบางครั้ง ก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา
โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน


บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียว

มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า

สิ่งที่เราคิดทั้งหมด

มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว

ฉะนั้น ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่

เลือกที่จะจมกับความฝัน

มากกว่าการได้รับรู้ความจริง

การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้า

ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า...

เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4...

และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า....

ก็ขอให้คิดไว้ว่า ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย


แต่โปรดจำไว้เถอะว่า

หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ

พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า ...

ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว

โปรดห้ามใจเถอะ

ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้...


ก็จงชอบต่อไปเถอะ

การรักใครซักคน

ไม่ต้องการความพยายาม

"การตัดใจ"ต่างหาก ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย

ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า ความสุขยาม ที่คุณได้สบตาเค้า

กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า

อันไหนมันหนักหนากว่ากัน


อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป...

อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้...

อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน

แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน

แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อย

ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป แต่ก็ยังได้พบ...


ยิ้มให้เค้า

ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา

แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...


ยิ้มให้กับโชคชะตา ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน

คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง

คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้ม ของเค้าไว้คนเดียว

คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง....

คนที่ทำให้คุณหัวเราะ... และร้องไห้ได้มากมาย...


คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า

ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...

ให้กลายเป็นวันที่สดใส

เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?


แค่การได้เห็นคนที่เรารัก

ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคน ที่เค้ารักมากที่สุด ...

นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก ...อย่างจริงใจ


อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://variety.teenee.com/saladharm/21754.html

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อยากหายเครียดฟังทางนี้...อาหารช่วยคุณได้

ก่อนจะเผลอตัวหยิบอาหารอะไรก็ได้เข้าปาก นัยว่ากินเพื่อระบายความเครียด ลองไปดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้างที่ช่วยคลายเครียดได้จริง






ข้าว-ขนมปัง

เมื่อร่างกายได้รับแป้งหรือสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต จะไปเพิ่มปริมาณสารเคมีในสมองที่มีชื่อว่า "เซโรโทนิน" ให้มากขึ้น ซึ่งเจ้าสารตัวนี้จะออกฤทธิ์ให้สมองสงบลง ดังนั้นหลังจากกินอาหารอิ่มๆ เราจึงรู้สึกผ่อนคลายและสบาย แต่ถ้ากินมากเกินไปจากที่สบายหายเครียดก็จะเป็นง่วงนอนแทนเอาได้

ส่วนของหวานที่กินทีไรแล้วรู้สึกสบายใจหายเครียดทุกทีไป อย่างไอศกรีม น้ำหวาน ขนม ฯลฯ ก็เป็นเพราะว่าน้ำตาลในของหวานนั้นกลายเป็นแป้ง แล้วก็ไปเพิ่ม "เซโรโทนิน" ให้สมองนั่นเอง ถึงจะทำให้คลายเครียด แต่ถ้าเผลอกินมากเกินไปน้ำหนักก็จะอาจจะพุ่งพรวดเป็นของแถมได้ด้วย



ช็อกโกแลต

นอกจากจะมีน้ำตาลหวานๆ กินทีไรชุ่มคอชื่นใจแล้ว ในช็อกโกแลตยังมีสารธีโอโบรมีนและสารฟีนิลเอธิละมีน ที่จะช่วยให้คนกินเกิดความครื้นเครง แถมไขมันในช็อกโกแลตยังเพิ่มปริมาณ "เอนโดรฟีน" ฮอร์โมนแห่งความสุขในสมองให้มากขึ้นด้วย

ฟังแบบนี้พวกสาวกช็อกโกแลตคงดี๊ด๊ายินดีกันถ้วนหน้า ขอบอกว่าของแบบนี้ต้องยึดสายกลางเข้าไว้ กินแต่พอดี ไม่งั้นเกิดปัญหา "อ้วนจังตังค์หมด" มาโทษกันไม่ได้นะ







กล้วยหอม

นึกไม่ถึงใช่ไหมล่ะว่ากล้วยหอมจะมีคุณสมบัติพิเศษอย่างนี้ด้วย อย่าลืมว่าในกล้วยหอมนั้นมีแมกนีเซียมและวิตามินบี 2 ซึ่งเป็นสารอาหารทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและระบบประสาททำงานได้ดี

คราวนี้ก็คงถึงบางอ้อกันแล้วซินะว่า ทำไมหม่ำบาบาน่าสปลิททีไร เดินสบายใจออกจากร้านไอศกรีมทุกทีไป


ถ้าเครียดครั้งต่อไป ก่อนจะเผลอหยิบอะไรเข้าปาก ให้เดินสายกลางสักนิด รู้จักเลือกกินอย่างถูกต้อง และพอเหมาะ ก็จะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลได้ดีขึ้น


อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/21555.html

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

SuthAthip 062 ``

SuthAthip 062 ``

วิธีแก้ง่วงในเวลาเรียน


1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)


2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไป


3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลิน


4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ


5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)


6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ

7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง


8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ


9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน


อ่านเพิ่มเติมได้จาก : http://variety.teenee.com/foodforbrain/21447.html

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เตือนวัยรุ่นคลั่งผอม!!! เสี่ยงตายเร็ว 9 เท่า


แพทย์เผยวัยรุ่นมีปัญหาการกิน ไม่ผอมก็อ้วนเกินไป ชี้กินมากเสี่ยงเป็นโรคผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน สิวเห่อ เตือนคลั่งผอมเสี่ยงตายเร็วกว่าคนปกติ 9 เท่า แนะกินอาหารแต่พอดีแต่ให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน


นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง เปิดเผยว่า ปัญหาการกินที่พบในวัยรุ่น มีทั้งที่กินน้อยเกินไป จนถึงขั้นที่เรียกว่าโรคคลั่งผอม หรือ anorexia nervosa

ที่จริงแล้วโรคนี้จัดเป็นอาการป่วยทางจิตที่เกี่ยวกับการกินอาหาร ทำให้มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติมาก และมีความกังวลย้ำคิดกลัวว่าตัวเองจะอ้วนเกินไป ทำให้ผู้ป่วยกินอาหารน้อยมาก พบบ่อยในวัยรุ่นเพศหญิง แต่ก็พบว่าร้อยละ10 พบในเพศชาย พบบ่อยในดารา นักร้อง นางแบบ จนต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่นางแบบว่าจะต้องไม่ผอมจนเกินไป โรคนี้รักษาให้หายได้ยากมาก และสตรีที่เป็นโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็น 9 เท่าของคนปกติ

ในทางตรงข้ามวัยรุ่นบางกลุ่มจะกินมากเกินไปทำให้เป็นโรคอ้วน ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคผิวหนังสูงขึ้น กล่าวคือคนอ้วนอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน ผิวเป็นผื่นดำ เห็นเป็นปื้นหนาดำที่ต้นคอ มีติ่งเนื้อ โรคอ้วนยังทำให้เกิดโรคติดเชื้อ เช่น สังคัง ติดเชื้อยีสต์ และทำให้ผิวแตกลาย มีกลิ่นตัว ส่วนการกินขนมหวานมีน้ำตาลสูงทำให้สิวเห่อได้

นพ.ประวิตร กล่าวว่า มีโรคผิวหนังหลายชนิดที่เกี่ยวกับภาวะโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากการได้สารอาหารมากเกินไป หรือการขาดสารอาหาร เช่น ขาดวิตามินเอทำให้มองไม่เห็นในเวลากลางคืน ผิวและผมแห้ง คันผิวหนัง เล็บเปราะหักง่าย และรูขุมขนหนา

ในทางตรงข้ามหากได้วิตามินเอสูงเกินไป ก็ทำให้ผิวเปลี่ยนสี ผมร่วง ผิวแห้ง และลอก มียารักษาสิวตัวหนึ่งคือ isotretinoin ซึ่งเป็นกรดวิตามินเอ ผู้ที่กินยาตัวนี้จะมีผิวและเยื่อบุแห้งและลอกมาก และถ้าผู้หญิงกินแล้วตั้งครรภ์ ทารกจะพิการ ขาดวิตามินบี 2 ทำให้ริมฝีปาก ช่องคอบวมแดง มุมปากอักเสบ ที่เรียกว่าโรคปากนกกระจอก มีผื่นผิวหนังอักเสบมีขุยที่ใบหน้า คือเป็นโรคเซ็บเดิร์ม (seborrheic dermatitis) ขาดวิตามินบี 3 หรือ niacin ทำให้ผิวไวต่อแสง ผิวหนังอักเสบ และมีผื่นผิวหนังรอบลำคอคล้ายใส่สายสร้อยคอ (Casal necklace) ขาดวิตามินซีทำให้เกิดตุ่มตามผิวหนัง มักเป็นที่ขาและต้นขา เหงือกบวม มีเลือดออกตามไรฟัน ที่เรียกว่าโรคลักปิดลักเปิด ขาดเหล็กทำให้อ่อนเพลีย เป็นโรคโลหิตจาง อาจพบเล็บโค้งงอเหมือนช้อนได้ ขาดสังกะสีทำให้ผมร่วง เป็นสิว เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/21093.html

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

7 เรื่องเล็กที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ของสุขภาพ

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องขี้ประติ๋วนั้น ถ้าทำบ่อยๆ เป็นประจำแล้วล่ะก็ มันก็สามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เหมือนกับ 7 เรื่องนี้ที่ถ้าทำบ่อยจนเกินไปก็จะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมจนกลายเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้นะจ๊ะ งั้นไปเริ่มต้นที่เรื่องแรกกันเลยดีกว่า.....



- ไหมขัดฟัน >> การที่ไม่ยอมใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดฟันนั้นรู้ไหมว่า จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับเหงือก และฟันไม่แข็งแรงอีกด้วย นอกจากนี้แบคทีเรียบริเวณเหงือกสามารถเข้าสู่กระแสเลือด และอาจจะทำให้เป็นโรคหัวใจได้อีกด้วย


- คอนแทคเลนส์ >> ก่อนนอนทุกครั้งควรที่จะถอดคอนแทคแลนส์ออกเสมอ เพราะการที่ไม่ยอมถอดออกนั้น จะทำให้เพิ่มการติดเชื้อที่ดวงตาถึง 10 เท่า

- หมากฝรั่ง >> การเคี้ยวหมากฝรั่งที่มีซอร์บิทอลตลอดทั้งวันนั้น จะทำให้มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือเกิดอาการท้องเสียได้ ดังนั้นจึงควรที่จะเคี้ยวเฉพาะบางช่วงเวลาเท่านั้น เช่น หลังทานอาหารเสร็จ เป็นต้น


- รองเท้าสันสูง >> การสวมใส่รองเท้าสันสูงไม่ว่าจะเป็นแบบสันตึก สันเข็ม หรือแบบเตารีด เป็นประจำนั้น รู้ไหมว่าจะทำให้กระดูก กล้ามเนื้อขาและเท้า อาจจะเสื่อมก่อนวัยได้ สาเหตุมาจากน้ำหนักตัวจะไม่กระจายไปทั่วทั้งเท้า แต่จะมาลงน้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่กระดูกและข้อทางด้านหน้า


- ครีมกันแดด >> รู้กันบ้างรึเปล่าว่าการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันนั้น จะเป็นการลดจำนวนวิตามินดี ที่ร่างกายสร้างขึ้นในแต่ละวัน ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการเครียด และเป็นโรคกระดูกพรุนได้

- โทรศัพท์มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือก่อนนอนนั้น จะทำให้รังสีของโทรศัพท์แผ่ออกมา เป็นสาเหตุทำให้นอนไม่หลับ ไม่สามารถหลับสนิทได้ และจะทำให้รู้สึกปวดหัวอีกด้วย ดังนั้นจึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการคุยโทรศัพท์ก่อนนอนให้มากที่สุด เพื่อที่ร่างกายจะได้พักผ่อนให้เพียงพอนะจ๊ะ


- เครื่องสำอาง >> ควรที่จะล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนที่จะเข้านอนทุกครั้ง เพราะการนอนทั้งๆ ที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่นั้น จะทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ได้ และที่สำคัญที่สุดจะเป็นการกระตุ้นการเกิดสิวได้ ซึ่งสิ่งนี้เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นบนใบหน้าอันหล่อ-สวยของตัวเองใข่ไหมจ๊ะ




ข้อมูลเพิ่มเติม :





วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

~~~~เพื่อน~~~~


แด่เพื่อน SCIENCE SEVEN ทุกคน
เพื่อน คือคนที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ... ก็รักกันได้

ไม่ต้องเห็นกันทุกวัน ... ก็รักกันได้

ไม่ต้องหวานใส่กัน ... ก็รักกันได้

แต่รักอยู่ฝ่ายเดียว ... เป็นเพื่อนกันไม่ได้


เพราะเพื่อน ..

ไม่ได้เกิดมาพร้อมหน้าที่ .. อย่างคำว่า .. พ่อแม่

ไม่ได้จบลงพร้อมหน้าที่ .. อย่างคำว่า .. แฟน


แต่เกิดจาก ..

การกระทำซึ่งกันและกัน

จะอยู่หรือไป .. ใช้ "ใจ" เป็นเกณฑ์

จะอีกกี่นาน .. เพื่อนก็ยังเป็นทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ไม่มีวันเลือนหาย

เพื่อนคือคนที่เรามั่นใจ อยากไปหามากที่สุด ไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุข




เพื่อนคือคนที่เราไม่ต้องนอนร้องไห้ คอยโทรศัพท์ทั้งคืน ..
..เพื่อนก็โทรมาหา..




ฐานะ .. ไม่ใช่ตัววัดว่าใครเหมาะสมจะเป็นเพื่อนใคร


หน้าตา ..ไม่ใช่มาตรฐานบอกว่า ใครควรจะเป็นเพื่อนใคร


แต่น้ำใจ .. จะเป็นเครื่องชี้ให้เรารู้ว่า ใครที่ควรจะเป็นเพื่อนเรา




เพื่อนคือ .. คนที่แอบมาปรุงแต่งชิวิตเรา ซะจนกลายเป็นอาหารจานแปลก


มีทั้ง หวาน ขม อม เปรี้ยว


เดี๋ยวเติมความห่วงใย เดี๋ยวใส่ความรัก


หมักความผูกผันจนได้ที่


สุดท้ายก็กลายเป็นอาหารจานดี ที่ไม่มีผักชีโรยหน้า


แต่ว่าเติมความจริงใจได้จนเต็มจาน




เพื่อน .. ก็เหมือนเสื้อตัวเก่งที่เราจะหยิบมาใส่ทุกครั้ง


ที่เราต้องการรความมั่นใจ


และเมื่อพ้นเวลานั้นไป..


เสื้อตัวนี้ก็ยังแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าใบเดิมเสมอ


เหมือนกับเพื่อนที่จะอยู่กับเราในวันที่เราไม่สบายใจ







เพื่อนมีอะไรหลายอย่างที่เราไม่ได้จากไคร




......................................................................................................




เพื่อนเท่านั้น จะไม่ลืมกัน




[รักเพื่อน ๆ S7 ทุกคน ไม่มีคัยที่จะเข้าจัยเราได้ดีกว่านี้อีกแร้ว ~รัก .. ]

อ่านเพิ่มเติมได้จาก : http://dek-d.com/board/view.php?id=808036

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทำไมเราถึงง่วงนอนตอนบ่ายๆ Z zz *


13.00 น.
ตับจะพักผ่อน ร่างกายในช่วงนี้จะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย
*14.00 น.
เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายรู้สึกอืดอาด เชื่องช้าที่สุดในระยะหนึ่งของแต่ละวัน
15.00 น.
ระบบของร่างกายมีปฏิกิริยาไวมาก สมรรถภาพของพละกำลังฟื้นฟูขึ้น
16.00 น.
ในกระแสเลือด จะมีน้ำตาลเพิ่มขึ้น แต่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
17.00 น.
สมรรถภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น
18.00 น.
ความรู้สึกต่ออาการเจ็บปวดจะลดน้อยลง ขอให้เพิ่มการออกกำลังกาย
*19.00 น.
ความดันของเลือดเพิ่มสูง อารมณ์ไม่ค่อยดี มักเกิดได้ด้วยสาเหตุเล็กน้อย
.... *************....
ข้อมูลเพิ่มเติม

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

~* ออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือด ++


‘ยืดเส้นยืดสาย’ เตรียมวิธีออกกำลังกายให้เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือดที่แตกต่าง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกาย และใจ ไม่ทำให้ร้ายกล้ามเนื้อเพราะการออกกำลังกายอย่างหักโหม

เริ่มจากเลือดกรุ๊ปเอ ควรออกกำลังกายแบบช้า ๆ ออกแรงไม่มาก เช่น โยคะ ไท้เก๊ก ชี่กง เพราะมีโครงกระดูกเล็ก หักง่าย สืบเนื่องจากอาหารที่เหมาะสมของคนเลือดกรุ๊ปเอ คือ อาหารประเภทมังสวิรัติ หรือรับประทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย

ส่วนเลือดกรุ๊ปบี ที่รับประทานอาหารทั้งผักทั้งเนื้อสัตว์ได้ในสัดส่วนที่เท่ากัน จึงมีความว่องไว ให้ออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่หักโหมหรือเชื่องช้าเกินไป เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ กอล์ฟ ปิงปอง

สำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปเอบี เปรียบเสมือนส่วนผสมของกรุ๊ปเอและบี ให้สังเกตตนเองว่ามักเลือกรับประทานอาหารของกรุ๊ปเอ หรือกรุ๊ปบีมากกว่ากัน เมื่อทราบแล้วก็ให้ออกกำลังกายตามลักษณะของเลือดกรุ๊ปนั้น แต่ก็ควรเพิ่มการออกกำลังกายในแบบที่เหมาะกับเลือดอีกกรุ๊ปด้วย เช่น มักรับประทานผักและผลไม้อย่างคนเลือดกรุ๊ปเอ ก็ให้ออกกำลังกายแบบช้า ๆ เป็นหลัก และเสริมด้วยการออกกำลังกายของคนเลือดกรุ๊ปบีบ้าง

ขณะที่คนเลือดกรุ๊ปโอ เหมาะสมกับการออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงมาก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วิ่งทางไกล ชกมวย เนื่องจากสภาพร่างกายสามารถบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงและผักได้ในปริมาณมาก ทำให้มีโครงกระดูกที่แข็งแรง กล้ามเนื้อกระชับแน่น


ไม่ว่าคุณจะมีเลือดอยู่ในกรุ๊ปใด ต้องไม่ลืมการเดินเร็ว 10 นาที หลังจากออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือดทุกครั้ง นอกจากนี้ยังควรออกมายืดเส้นยืดสายเคลื่อนไหวร่างกายให้ผิวหนังถูกแสงแดดราว 20 – 30 นาที ในช่วงเวลา 11.00 – 14.00 น. เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีรังสียูวีในระดับเข้มข้น ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินบี 3 เพื่อช่วยลำเลียงแคลเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ ไปยังกระดูก โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง หากไม่ได้ออกมารับแสงแดดด้วยการนอนอาบแดดอยู่เฉย ๆ กับที่ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง.
อ่านเพิ่มเติมได้จาก : http://variety.teenee.com/foodforbrain/20498.html

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

** คน ที่เป็น เพื่อน **


** คน ที่เป็น เพื่อน **

ไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาระดับเดียวกัน
ไม่จำเป็นต้องมีฐานะเท่าเทียมกัน
ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานเท่าเทียมกัน
ถ้าคิดแบบนั้น คุณจะไม่มีเพื่อนแท้ดีๆเลยสักคน

คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง
คอยฟัง ยามเพื่อนขอ

คอยรอ ยามเพื่อนสาย
คอยพาย ยามเพื่อนพัก
คอยทัก ยามเพื่อนทุกข์
คอยปลุก ยามเพื่อนท้อ

คอยง้อ ยามเพื่อนงอน
คอยสอน ยามเพื่อนผิด
คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ
คอยเจอ ยามเพื่อนหา

คอยลา ยามเพื่อนกลับ
คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน
คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว
คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น

คอยเย็น ยามเพื่อนร้อน
คอยหอน ยามเพื่อนเห่า
คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ
คอยอุบ ยามเพื่อนปิด

คอยคิด ยามเพื่อนถาม
คอยปราม ยามเพื่อนหลง

คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง
คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด
คอยอด ยามเพื่อนทาน
คอยคาน ยามเพื่อนล้ม
คอยชม ยามเพื่อนชนะ
คอยสละ ยามเพื่อนชอบ

เพื่อนที่รักเราหาไม่ง่ายเลย
ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีแล้ว
จงรักษามันไว้ให้ดีดี รักกันไว้ให้มากๆ
ไม่มีอีกแล้วถ้า เราเสียเพื่อนที่ดีไป
เพราะ แค่เหตุผล โง่โง่
^^

วันนี้คุณ "ยิ้ม" หรือยัง ? ^oo^




ยิ้มเข้าไว้กับทุกสิ่งบนโลกหล้า

แม้ศรัทธาหักหล่นหายไปหลายหน

ยิ้มเถิดยิ้มเพื่อนพี่น้องทั่วทุกคน

เพื่อกมลหลั่งรดหยดยินยอมรอ


ฟ้าหลังฝนทั่วดินแดนแสนเย็นนุ่ม

ด้วยหล้าอุ้มกุมน้ำไปหลายล้านบ่อ

มาเถิดมาแห่นางแมวแวะเวียนคลอ

ให้ฝนโปรยโรยล้างท้อจากใจเรา


ช่วงเจ็บจ่อย่อจิตย่นใครก็รู้

ต้องปิดหูปิดตาบ้างพลางเกลาเศร้า

วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่ายังร่ำเร้า

ให้เดินก้าวห่างเผาผ่าวเมียงผ่านมัว


ยิ้มฤายังคุณคุณท่านอย่ารอช้า

แวะเข้ามายิ้มให้กันหรรษาทั่ว

ยิ้มไม่ออกง่ายนิดเดียวอย่าเกรงกลัว

หลับนัยน์รัวชั่วพริบลืมสุขก็ล้อ


สนุกเหนื่อยเปื่อยกับรุกทุกข์กับร้อน

ต้องผันผ่อนนอนกับใฝ่ไกลไห้ห่อ

จึ่งจะจางห่างหดหู่รู้เลี่ยงพ้อ

..วันนี้ “ขอ”สักนิดเถิด “ยิ้ม” นะคุณ..

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง

กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า...

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น
และแอปเปิลส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี

ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี