วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กลอกลูกตาบริหารกล้ามเนื้อ


วันนี้มีคำแนะนำมาเพิ่มเทคนิค การบริหารดวงตา ด้วยการกลอกตา ช่วยบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตา ลดความเมื่อล้าจากการใช้งานนาน ๆ (จ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ) และยังช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้ด้วย

วิธีการ

1.ตั้งศีรษะตรงโดยไม่ต้องหันตามทิศทางที่ลูกตากลอกมองไป จากนั้นให้กลอกลูกตาไปทางซ้ายให้มากที่สุด สลับกับการกลอกลูกตาไปทางขวาให้มากที่สุด 10 รอบ

2.เหลือบลูกตามองขึ้นไปบนเพดาน สลับกับเหลือบมองพื้นให้มากที่สุด ทำซ้ำ 10 รอบ

3.เหลือบตามองที่ตำแหน่งปลายคิ้วด้านซ้าย ก่อนลากสายตาให้เหลือบมองแก้มด้านขวา ทำให้ได้ 10 รอบ แล้วเปลี่ยนไปเหลือบมองที่ตำแหน่งปลายคิ้วขวา แล้วเหลือบมองแก้มด้านซ้าย 10 รอบเช่นกัน

4.หมุนลูกตาในลักษณะเป็นวงกลม วนทั้งทางขวาและซ้าย ด้านละ 10 รอบ

5.การผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตาทำได้ง่ายๆ ด้วยการหลับตา จากนั้นวางนิ้วชี้ลงบริเวณเหนือคิ้วแต่ละข้าง แล้วกดนวดทั้งบริเวณคิ้วและรอบดวงตา เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว หรือใช้วิธีการนวดรอบดวงตาสามารถช่วยลดความรู้สึกปวดเบ้าตาและศีรษะได้

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/21924.html

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ยังรักมั้ย ?



ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ นึงตลอดเวลา

เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้

และบางครั้ง ก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา
โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน


บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียว

มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า

สิ่งที่เราคิดทั้งหมด

มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว

ฉะนั้น ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่

เลือกที่จะจมกับความฝัน

มากกว่าการได้รับรู้ความจริง

การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้า

ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า...

เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4...

และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า....

ก็ขอให้คิดไว้ว่า ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย


แต่โปรดจำไว้เถอะว่า

หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ

พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า ...

ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว

โปรดห้ามใจเถอะ

ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้...


ก็จงชอบต่อไปเถอะ

การรักใครซักคน

ไม่ต้องการความพยายาม

"การตัดใจ"ต่างหาก ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย

ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า ความสุขยาม ที่คุณได้สบตาเค้า

กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า

อันไหนมันหนักหนากว่ากัน


อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป...

อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้...

อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน

แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน

แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อย

ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป แต่ก็ยังได้พบ...


ยิ้มให้เค้า

ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา

แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...


ยิ้มให้กับโชคชะตา ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน

คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง

คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้ม ของเค้าไว้คนเดียว

คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง....

คนที่ทำให้คุณหัวเราะ... และร้องไห้ได้มากมาย...


คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า

ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...

ให้กลายเป็นวันที่สดใส

เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?


แค่การได้เห็นคนที่เรารัก

ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคน ที่เค้ารักมากที่สุด ...

นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก ...อย่างจริงใจ


อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://variety.teenee.com/saladharm/21754.html

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อยากหายเครียดฟังทางนี้...อาหารช่วยคุณได้

ก่อนจะเผลอตัวหยิบอาหารอะไรก็ได้เข้าปาก นัยว่ากินเพื่อระบายความเครียด ลองไปดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้างที่ช่วยคลายเครียดได้จริง






ข้าว-ขนมปัง

เมื่อร่างกายได้รับแป้งหรือสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต จะไปเพิ่มปริมาณสารเคมีในสมองที่มีชื่อว่า "เซโรโทนิน" ให้มากขึ้น ซึ่งเจ้าสารตัวนี้จะออกฤทธิ์ให้สมองสงบลง ดังนั้นหลังจากกินอาหารอิ่มๆ เราจึงรู้สึกผ่อนคลายและสบาย แต่ถ้ากินมากเกินไปจากที่สบายหายเครียดก็จะเป็นง่วงนอนแทนเอาได้

ส่วนของหวานที่กินทีไรแล้วรู้สึกสบายใจหายเครียดทุกทีไป อย่างไอศกรีม น้ำหวาน ขนม ฯลฯ ก็เป็นเพราะว่าน้ำตาลในของหวานนั้นกลายเป็นแป้ง แล้วก็ไปเพิ่ม "เซโรโทนิน" ให้สมองนั่นเอง ถึงจะทำให้คลายเครียด แต่ถ้าเผลอกินมากเกินไปน้ำหนักก็จะอาจจะพุ่งพรวดเป็นของแถมได้ด้วย



ช็อกโกแลต

นอกจากจะมีน้ำตาลหวานๆ กินทีไรชุ่มคอชื่นใจแล้ว ในช็อกโกแลตยังมีสารธีโอโบรมีนและสารฟีนิลเอธิละมีน ที่จะช่วยให้คนกินเกิดความครื้นเครง แถมไขมันในช็อกโกแลตยังเพิ่มปริมาณ "เอนโดรฟีน" ฮอร์โมนแห่งความสุขในสมองให้มากขึ้นด้วย

ฟังแบบนี้พวกสาวกช็อกโกแลตคงดี๊ด๊ายินดีกันถ้วนหน้า ขอบอกว่าของแบบนี้ต้องยึดสายกลางเข้าไว้ กินแต่พอดี ไม่งั้นเกิดปัญหา "อ้วนจังตังค์หมด" มาโทษกันไม่ได้นะ







กล้วยหอม

นึกไม่ถึงใช่ไหมล่ะว่ากล้วยหอมจะมีคุณสมบัติพิเศษอย่างนี้ด้วย อย่าลืมว่าในกล้วยหอมนั้นมีแมกนีเซียมและวิตามินบี 2 ซึ่งเป็นสารอาหารทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและระบบประสาททำงานได้ดี

คราวนี้ก็คงถึงบางอ้อกันแล้วซินะว่า ทำไมหม่ำบาบาน่าสปลิททีไร เดินสบายใจออกจากร้านไอศกรีมทุกทีไป


ถ้าเครียดครั้งต่อไป ก่อนจะเผลอหยิบอะไรเข้าปาก ให้เดินสายกลางสักนิด รู้จักเลือกกินอย่างถูกต้อง และพอเหมาะ ก็จะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลได้ดีขึ้น


อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/21555.html

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

SuthAthip 062 ``

SuthAthip 062 ``

วิธีแก้ง่วงในเวลาเรียน


1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)


2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไป


3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลิน


4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ


5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)


6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ

7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง


8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ


9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน


อ่านเพิ่มเติมได้จาก : http://variety.teenee.com/foodforbrain/21447.html

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เตือนวัยรุ่นคลั่งผอม!!! เสี่ยงตายเร็ว 9 เท่า


แพทย์เผยวัยรุ่นมีปัญหาการกิน ไม่ผอมก็อ้วนเกินไป ชี้กินมากเสี่ยงเป็นโรคผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน สิวเห่อ เตือนคลั่งผอมเสี่ยงตายเร็วกว่าคนปกติ 9 เท่า แนะกินอาหารแต่พอดีแต่ให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน


นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง เปิดเผยว่า ปัญหาการกินที่พบในวัยรุ่น มีทั้งที่กินน้อยเกินไป จนถึงขั้นที่เรียกว่าโรคคลั่งผอม หรือ anorexia nervosa

ที่จริงแล้วโรคนี้จัดเป็นอาการป่วยทางจิตที่เกี่ยวกับการกินอาหาร ทำให้มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติมาก และมีความกังวลย้ำคิดกลัวว่าตัวเองจะอ้วนเกินไป ทำให้ผู้ป่วยกินอาหารน้อยมาก พบบ่อยในวัยรุ่นเพศหญิง แต่ก็พบว่าร้อยละ10 พบในเพศชาย พบบ่อยในดารา นักร้อง นางแบบ จนต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่นางแบบว่าจะต้องไม่ผอมจนเกินไป โรคนี้รักษาให้หายได้ยากมาก และสตรีที่เป็นโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็น 9 เท่าของคนปกติ

ในทางตรงข้ามวัยรุ่นบางกลุ่มจะกินมากเกินไปทำให้เป็นโรคอ้วน ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคผิวหนังสูงขึ้น กล่าวคือคนอ้วนอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน ผิวเป็นผื่นดำ เห็นเป็นปื้นหนาดำที่ต้นคอ มีติ่งเนื้อ โรคอ้วนยังทำให้เกิดโรคติดเชื้อ เช่น สังคัง ติดเชื้อยีสต์ และทำให้ผิวแตกลาย มีกลิ่นตัว ส่วนการกินขนมหวานมีน้ำตาลสูงทำให้สิวเห่อได้

นพ.ประวิตร กล่าวว่า มีโรคผิวหนังหลายชนิดที่เกี่ยวกับภาวะโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากการได้สารอาหารมากเกินไป หรือการขาดสารอาหาร เช่น ขาดวิตามินเอทำให้มองไม่เห็นในเวลากลางคืน ผิวและผมแห้ง คันผิวหนัง เล็บเปราะหักง่าย และรูขุมขนหนา

ในทางตรงข้ามหากได้วิตามินเอสูงเกินไป ก็ทำให้ผิวเปลี่ยนสี ผมร่วง ผิวแห้ง และลอก มียารักษาสิวตัวหนึ่งคือ isotretinoin ซึ่งเป็นกรดวิตามินเอ ผู้ที่กินยาตัวนี้จะมีผิวและเยื่อบุแห้งและลอกมาก และถ้าผู้หญิงกินแล้วตั้งครรภ์ ทารกจะพิการ ขาดวิตามินบี 2 ทำให้ริมฝีปาก ช่องคอบวมแดง มุมปากอักเสบ ที่เรียกว่าโรคปากนกกระจอก มีผื่นผิวหนังอักเสบมีขุยที่ใบหน้า คือเป็นโรคเซ็บเดิร์ม (seborrheic dermatitis) ขาดวิตามินบี 3 หรือ niacin ทำให้ผิวไวต่อแสง ผิวหนังอักเสบ และมีผื่นผิวหนังรอบลำคอคล้ายใส่สายสร้อยคอ (Casal necklace) ขาดวิตามินซีทำให้เกิดตุ่มตามผิวหนัง มักเป็นที่ขาและต้นขา เหงือกบวม มีเลือดออกตามไรฟัน ที่เรียกว่าโรคลักปิดลักเปิด ขาดเหล็กทำให้อ่อนเพลีย เป็นโรคโลหิตจาง อาจพบเล็บโค้งงอเหมือนช้อนได้ ขาดสังกะสีทำให้ผมร่วง เป็นสิว เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/21093.html